วันจันทร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2562

ความรู้มือสอง



        มีคำวิจารณ์มากมายเกี่ยวกับระบบการศึกษาของประเทศไทย ว่าล่าหลังบ้างละ เรียนเยอะแต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับเด็กนั้นมีน้อย บ้างละ หรือเนื้อหาสาระที่เอามาให้เด็กเรียนนั้นเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นแล้วในปัจจุบัน ซึ่งผมเองก็มีความคิดเห็นคล้อยตามในหลายๆประเด็น 
        สิ่งที่ผมคิดว่าเป็นรากฐานของปัญหาการศึกษาไทยเลยนั้นก็คือ การที่เรามีโรงเรียนมากเกินไป ซึ่งเรื่องนี้รัฐบาลก็น่าจะรู้และพยายามแก้ไขปัญหาอยู่แต่อาจจะไม่ใช่เรื่องที่แก้ไขกันได้ง่ายๆ สมัยก่อนการคมนาคมขนส่งเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะถนนหาทางไม่ได้สะดวกสบายเหมือนอย่างกับทุกวันนี้ และเมื่อรัฐบาลในสมัยนั้นต้องการพัฒนาคนในชาติซึ่งทั่วโลกก็ถือกันว่า เรื่องของการศึกษานั้นเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด จึงมีการสร้างโรงเรียนให้กระจายตัวไปทั่วประเทศโดยเฉลี่ยแล้ว 3 หมู่บ้านที่อยู่ติดกันจะมีโรงเรียน 1 โรงเรียนซึ่งก็เหมือนกับวัด เพราะสมัยก่อนเด็กจะต้องเดินไปเรียนการมีโรงเรียนในหมู่บ้านจึงถือเป็นเรื่องที่สะดวกสบายสำหรับเด็กๆ
        แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไปการคมนาคมขนส่ง ทันสมัยมากขึ้นการเดินทางไปมาหาสู่กันเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายๆ และประกอบกับค่าใช้จ่ายต่างๆเพิ่มมากขึ้นการที่มีโรงเรียนเป็นจำนวนมากทำให้รัฐต้องเสียเงินทั้งในเรื่องของการจ้างบุคลากร การซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ หรือการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างใหม่ๆเพื่อให้ทันกับยุคสมัย เป็นค่าใช่จ่ายที่มาก และเมื่อต้องดูแลโรงเรียนจำนวนมากงบประมาณที่เทลงมามากมายมหาศาลก็จริงแต่เมื่อเฉลี่ยๆกับจำนวนโรงเรียนที่มีเป็นจำนวนมากแล้วเงินที่แต่ละโรงเรียนได้รับก็ไม่ได้มากมายอะไรนั้นเอง
        ส่วนทางกับจำนวนนักเรียนที่แต่ละโรงเรียนนั้นจะลดลงเพราะเมื่อฐานะของผู้ปกครองดีขึ้น คนที่มีกำลังหน่อยก็จะทำการส่งลูกหลายไปเรียนโรงเรียนในเมือง ซึ่งอาจจะเป็นโรงเรียนของรัฐหรือว่าโรงเรียนของเอกชนก็แล้วแต่  ซึ่งโรงเรียนของเอกชนในปัจจุบันนี้ได้มีการทุมงบประมาณเพื่อให้การจัดการศึกษาของพวกเขามีประสิทธิภาพที่สูงมากๆดังนั้นเมื่อผลการเรียนของนักเรียนที่เรียนในโรงเรียนเอกชนดี ก็ทำให้ผู้ปกครองนิยมที่จะส่งบุตรหลานไปเรียนถึงแม้ว่าค่าใช้จ่ายจะแพงกว่าการเรียนโรงเรียนของรัฐก็ตามที
        การมีโรงเรียนที่มากเกินไปทำให้ครูต้องสอนไม่ตรงรายวิชาที่ตัวเองนั้นได้เรียนมา ทำให้ประสิทธิภาพในการจัดการเรียนการสอนนั้นน้อยลงตามไปด้วย หากเราสามารถที่จะรวมโรงเรียนต่างเข้ามาไว้ด้วยกันได้ ก็จะทำให้แต่ละโรงเรียนนั้นมีคุณครูที่สอนตรงรายวิชาของตัวเองมากยิ่งขึ้นซึ่งก็จะเกิดผลดีกับทั้งตัวนักเรียนโรงเรียนแล้วก็ประเทศชาติในที่สุด
        ความรู้ที่สำคัญที่สุดในปัจจุบันสำหรับผมแล้วมันคือความสามารถในการใช้เครื่องมือต่างๆในการค้นหาความรู้ที่ตัวเองต้องการได้ อย่างเช่นการใช้งานอินเตอร์เน็ตเพื่อการค้นหาความรู้เป็นต้น ซึ่งการสอนในโรงเรียนนั้นจะเป็นลักษณะการสอนแบบกว้างๆ ซึ่งเด็กนักเรียนทุกๆคนจะต้องเรียนเหมือนกันทั้งหมดไม่สามารถเรียนในเรื่องที่ตัวเองสนใจแบบเฉพาะเจาะจงได้นั้นเอง  การใช้เครื่องมืออนนไลน์ในการหาความรู้ที่ตัวเองนั้นชอบจริงๆจึงเป็นเรื่องที่ทำให้คนๆนั้นสามารถที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จได้เร็วมากยิ่งขึ้นนั้นเอง
        และการที่เราได้ลงมือทำอะไรด้วยตัวเองก็แล้วแต่จะทำให้ความรู้ที่เราได้นั้นติดทนอยู่กับตัวเราไปนานแสนนานเพราะมันคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเราโดยตรงแต่หากว่าเราไปอ่านหรือดูมาจากที่อื่นๆนั้นคือความรู้มือสองที่เกิดกับคนอื่นเราแค่ไปศึกษาเรื่องราวที่เขาทำเท่านั้นเอง ซึ่งมันก็มีประโยชน์ในการที่ทำให้เรานั้นไม่ต้องเสียเวลาในการศึกษาเรื่องราวในบางเรื่องที่มันไม่ได้สำคัญอะไรมากมายแค่ต้องรู้เอาไว้ว่าหากทำแบบนี้แล้วจะเกิดอะไรตามมาบ้างเท่านั้นเอง

#s7content

วันอังคารที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2561

แผนการสู่ความสำเร็จ

ผมเคยเขียนถึงเรื่องของการตั้งเป้าหมายแล้วว่ามีความสำคัญ เหมือนกับแผนที่ในการเดินทางในชีวิตของเรา หากเราไม่มีแผนที่ว่า จุดหมายปลายทางของเรานั้นจริงๆอยู่ที่ไหน เราก็จะไม่มีวันที่จะเดินทางไปถึงที่นั้นได้ สิ่งสำคัญลำดับต่อมาเมื่อเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้วนั้นก็คือ การวางแผนว่าเราจะเดินทางไปทางไหน เพราะการจะไปถึงเป้าหมายแต่ละเป้าหมายที่เรานั้นได้สร้างเอาไว้แล้วละก็มันก็จะต้องมีเส้นทางที่เราจะเลือกเดินไป โดยเส้นทางในการไปยังเป้าหมายของแต่ละคนนั้นก็จะไม่เหมือนกัน แต่เส้นทางที่ไม่เหมือนกันเหล่านั้นก็ทำให้เราไปถึงเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ได้แทบทั้งหมดนั้นเอง nax ทิชชู่กลูต้า

โดยความแตกต่างระหว่างเป้าหมายกับแผนการนั้นก็คือเป้าหมาย เราจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่ว่าเป้าหมายที่เราคาดการณ์เอาไว้อาจจะมีหลายอันก็ได้ เริ่มจากเป้าหมายเล็กๆไปหาเป้าหมายใหญ่ ข้อดีของการกำหนดเป้าหมายเป็นเป้าหมายย่อยๆแบบนี้ จะทำให้เรานั้นมีกำลังใจในการลงมือทำ เดินตามแผนการที่เราได้ตั้งเอาไว้ เพราะว่าโดยปรกติธรรมดาแล้วคนเราจะหลั่งสารความสุขออกมาเมื่อเราสามารถทำอะไรบางอย่างได้สำเร็จ สรุปเรื่องของเป้าหมายนั้นก็คือ เป้าหมายของเราจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่จะมีการแบ่งเป้าหมายออกเป็นย่อยๆ เพื่อให้ง่ายต่อการบรรลุเป้าหมายนั้นๆ

ส่วนแผนการหรือเส้นทางที่เราจะเดินไปยังเป้าหมายที่เราได้ตั้งเอาไว้นั้น เราสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เพราะเมื่อถึงเวลาที่เราจะต้องลงมือปฏิบัติจริงๆแล้วละก็ สิ่งที่เรานั้นคิดเอาไว้กับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆอาจจะไม่เหมือนกัน เราก็สามารถที่จะปรับเปลี่ยนวิธีการได้ ยกตัวอย่างให้เห็นเป็นรูปธรรมก็อย่างเช่นเป้าหมายแรกในชีวิตของเราๆ ต้องการที่จะมีเงินเดือนสองหมื่นบาทต่อเดือน แต่ว่าเมื่อเราทำงานที่เราทำอยู่ไปสักระยะ เราอาจจะเริ่มมองเห็นว่าสิ่งที่เราต้องการนั้นอาจจะเป็นไปไม่ได้ เราก็อาจจะปรับแผนโดยการหาอาชีพเสริมอื่นๆมาทำเพื่อให้มีรายได้เพิ่มขึ้นเท่ากับเป้าหมายที่เรานั้นได้วางเอาไว้ หรืออาจจะเปลี่ยนงานไปทำงานอย่างอื่นที่ให้ผลตอบแทนที่มากกว่า และบรรลุเป้าหมายที่เรานั้นได้วางเอาไว้นั้นเอง

สิ่งที่สามที่เราต้องรู้และดำเนินการนั้นก็คือการลงมือทำ อะไรก็เป็นไปไม่ได้ถ้าหากไม่ลงมือทำ เมื่อเรามีเป้าหมายที่ชัดเจน และมีแผนการที่เราจะทำ ลำดับสุดท้ายที่สำคัญมากๆอีกอย่างหนึ่งนั้นก็คือเรื่องของการลงมือทำ ผมเสียดายแทนบางคนที่แผนการของเขาดีมากๆแต่เขาไม่ลงมือทำสักทีเพราะว่าต้องการให้พร้อมก่อน ซึ่งมันก็มาไม่ถึงสักที จนสุดท้ายก็ล้มเลิกเป้าหมายและแผนการของตัวเองไป แต่บางคนอาจจะยังไม่มีเป้าหมายและแผนการที่ดี ก่อนแต่อาศัยว่าลองทำไปเรื่อยๆสุดท้ายเมื่อเขาเรียนรู้มากขึ้น เขาก็พบเส้นทางที่ดีขึ้น จนสามารถวางเป้าหมายและแผนการที่ดีได้นั้นเอง ดังนั้นในสามอย่างที่พูดถึงในบทความอันนี้ซึ่งได้แก้เป้าหมาย  แผนการ การลงมือทำ การลงมือทำถือว่าเป็นปัจจัยไปสู่ความสำเร็จที่สำคัญที่สุดนั้นเอง nax ทิชชู่กลูต้า

วันจันทร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2561

การตลาดของ เจ ลีก

        ช่วงนี้เชื่อว่าหลายท่านทั้งที่ติดตามวงการฟุตบอลเมืองไทยอย่างต่อเนื่องอยู่แล้วและที่ไม่ค่อยได้ติดตาม ก็จะได้เห็นข่าวของ เจ้า เจ ชนาธิป บ่อยๆ ต้องขอเล่าก่อนว่าเจ้าเจนั้นได้เดินทางไปเล่นฟุตบอลที่ประเทศญี่ปุ่นกับทีมคอนซาโดเล่ ซัปโปโร่  ด้วยสัญญายืมตัวหนึ่งปีจากสโมสรเมืองทอง ยูไนเต็ด และสามารถโชว์ฟอร์มการเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมทำให้กลายเป็นที่ชื่นชอบของเหล่าแฟนบอล คอนซาโดเล่ ซัปโปโร่ ไปแล้วนั้น เราก็จะมาวิเคราะห์กันว่าการไปเล่นฟุตบอลที่ญี่ปุ่นของเจ้าเจ และเหล่านักเตะไทยคนอื่นๆนั้นใครได้ใครเสียกันแน่ giving forward
        เจลีกนั้นมีความตั้งใจที่จะเปิดตลาดในอาเซียนมานานมากแล้วโดยได้มีการนำนักเตะจากอาเซียนเข้าไปเล่นในเจลีกมาแล้วหลายคนจากหลายๆประเทศแต่ว่าส่วนมากนั้นก็จะเป็นการเข้าไปเล่นในระดับล่างๆหรือ J2-J3 มากกว่า เพราะการนำนักเตะอาเซียนเข้าไปเล่นนั้นเมื่อก่อนก็จะใช้โควตาของนักเตะต่างชาติ ทำให้ทีมต้องเสียโควตาที่จะนำนักเตะที่เก่งกว่าเข้ามาเล่น ถึงแม้ว่าการนำนักเตะจากอาเซียนมาเล่นให้กับทีมนั้นจะทำให้ทีมเป็นที่รู้จักมากขึ้น แต่ผลงานของนักเตะก็ไม่ได้ส่งผลดีกับทีมมากนัก แต่เมื่อปลายปีที่แล้วทางเจลีกได้เพิ่มกฎใหม่โดยกำหนดให้ นักเตะอาเซียนไม่ถือว่าเป็นนักเตะต่างชาติเพื่อเป็นการกระตุ้นให้แต่ละทีมนำนักเตะอาเซียนเข้ามาอยู่ในทีมมากขึ้นโดยไม่จำกัดจำนวน ทำให้สามารถแก้ปัญหาต่างๆในอดีตได้ทั้งผลงานในสนามเพราะโควตาต่างชาติในการนำนักเตะเก่งๆก็ยังคงอยู่  อีกทั้งยังได้เรื่องของการตลาดอีกด้วย ถึงตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับนักเตะจากอาเซียนเองแล้วว่าจะสามารถทำผลงานได้ดีสักแค่ไหน เพราะถ้าทำผลงานดีในหนึ่งทีมสามารถมีนักเตะอาเซียนได้ไม่จำกัดจำนวนเลย จากผลงานของเจ้าเจ ก็ได้พิสูจน์แล้วว่านักเตะจากไทยรวมถึงอาเซียนอื่นๆดีพอที่จะสามารถเล่นในระดับเจลีกได้ และทีมก็ได้ผลประโยชน์อย่างเช่นได้มีการซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอด เจลีกมาออกอากาศในประเทศไทยแล้วนั้นเอง  giving forward

        เหมือนเป็นแรงส่งสองขั้นจากกะแสความนิยมของฟุตบอลไทยทำให้เกิดการพัฒนาของทีมต่างๆส่งผลให้นักเตะรุ่นใหม่ๆที่เกิดขึ้นมามีความเป็นมืออาชีพมากๆและบวกกับนโยบายของ เจลีกที่ทำให้นักเตะไทยไปค้าแข้งได้ง่ายขึ้น เพื่อเป็นฐานในการไปเล่นในลีกอื่นๆต่อไปในอนาคตตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับนักเตะไทยแล้วว่าจะสามารถคว้าโอกาสนี้เอามาไว้ได้หรือไม่ และเราก็ต้องเชียร์เจ้าเจให้สามารถทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่องด้วยเพื่อจะได้เป็นการเปิดทางให้กับนักฟุตบอลรุ่นน้องได้เดินตามนั้นเอง  giving forward

วันอังคารที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ความคิดกับการลงมือทำ



        ทำไมตอนที่เราเด็กๆเราถึงได้มีความฝันมากมาย แต่พอเราเริ่มที่จะโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ความฝันหลายๆอย่างของเราก็เริ่มหายไปทีละอย่างสองอย่าง นั้นก็เป็นเพราะว่ายิ่งเราโตขึ้นเราก็เริ่มรู้ความจริงแล้วว่าอะไรคือสิ่งที่สามารถเป็นไปได้ง่ายๆอะไรคือสิ่งที่สามารถเป็นไปได้ยาก แล้วเราก็จะเริ่มคิดว่าความคิดที่เรานั้นเคยมีนั้นมันช่างเป็นไปได้ยากเสียเหลือเกิน    autorich
        เวลาที่เราคิดอะไรก็แล้วแต่ในความคิดของเรานั้นมันช่างเป็นไปได้อย่างง่ายดาย ก็เพราะว่ามันอยู่ในโลกความฝันของเรานั้นเอง สิ่งที่เราจะไม่เจอในโลกของความฝันของเรานั้นก็คือ ปัญหาหรือว่าอุปสรรคนั้นเอง แต่ว่าหากเป็นคนที่ลงมือทำเองจริงๆจะรู้ว่าทุกอย่างที่เราคิดนั้นน้อยมากที่จะเป็นอย่างที่เราคิดเอาไว้หมดทั้ง 100% มันจะต้องเจอสิ่งกีดขว้างต่างๆเสมอ ดังนั้นคนที่ประสบกับความสำเร็จในชีวิตจริงๆแล้วละก็เขาจะรู้ความลับข้อนี้นั้นก็คือ พวกเขานั้นจะรีบลงมือทำให้เร็วที่สุดเพื่อว่าพวกเขาจะได้เจอกับปัญหาอย่างรวดเร็วที่สุดและลงมือแก้มัน ไปเรื่อยๆจนถึงปลายทางนั้นก็คือความสำเร็จนั้นเอง  autorich
        การศึกษาหาความรู้ทั้งจากการอ่านชีวิตของคนที่ประสบกับความสำเร็จหรือว่าอ่านวิธีการในการลงมือทำสิ่งต่างๆอย่างมากมาย นั้นมันก็เป็นสิ่งที่ดีอยู่บ้างส่วนหนึ่งแต่ว่าไม่ดีทั้งหมด ต่อให้คุณนั้นรู้มากแค่ไหนแต่ว่าไม่ลงมือทำคุณก็ไม่อาจที่จะไปถึงความสำเร็จที่คุณนั้นต้องการได้เพราะว่าเวลาที่คุณลงมือทำจริงๆแล้วมันจะไม่เหมือนกับสิ่งที่คุณนั้นได้อ่านมา การจะแก้ปัญหาหรือว่าเอาชนะปัญหานั้นได้นั้นก็คือ การลงมือทำเท่านั้นเอง ในชีวิตนี้ไม่มีช่วงเวลาไหนที่ดีและพร้อมเท่ากับตอนนี้อีกแล้ว เพราะถ้าคุณมีความคิดว่าจะรอให้พร้อมมากกว่านี้ก่อนแล้วค่อยลงมือทำแล้วละก็คุณก็จะไม่มีวันที่ได้พบกับวันที่พร้อมเต็มร้อยเลยแม้แต่ครั้งเดียว  แต่ความลับของคนรวยทั้งหลายนั้นก็คือเขาจะเริ่มตอนที่เขายังไม่พร้อมนี้แหละ  ลงมือทำมันไปเลย เจอปัญหาอะไรก็ค่อยแก้ไขไปเรื่อยๆมันจะทำให้เรานั้นค่อยๆเก่ง ไปเรื่อยๆอย่างไม่มีที่สิ้นสุดนั้นเอง ดังนั้นสรุปก็คือการที่คุณนั้นคิดจะทำอะไรก็แล้วแต่ไม่ต้องรอให้พร้อมเพราะว่าการที่จะรอให้มันพร้อมจริงนั้นไม่มีวันมาถึง วันที่ดีที่สุดที่คุณจะลงมือทำอะไรก็แล้วแต่นั้นก็คือตอนนี้เวลานี้เท่านั้นเอง ดังนั้นคุณรีบลงมือทำมันซะก่อนที่จะกลายเป็นแค่ความคิดที่สวยหรูแต่ว่าไม่มีวันที่จะกลายเป็นจริงได้  autorich


#S7Content

วันอาทิตย์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

การคิดเลขเร็วแบบเวทคณิต



        วันนี้ผมได้มีโอกาสเป็นตัวแทนโรงเรียนไปร่วมเข้ารับการอบรมเรื่องของการคิดเลขเร็วแบบอินเดีย ซึ่งเป็นการกำหนดให้ทุกๆโรงเรียนสงตัวแทนโรงเรียนละหนึ่งคนเข้าร่วม โดยผู้ที่เข้าร่วมการอบรมในวันนี้นั้นมีประมาณ หนึ่งร้อยแปดสิบคน โดยวิทยากรที่มาถ่ายทอดความรู้ในวันนี้ก็เป็นคุณครูแกนนำที่ไปอบรมมาแล้วก็นำมาขยายผลต่อนั้นเอง โดยการอบรมในรอบนี้นั้นจัดขึ้นด้วยกันสองวัน ซึ่งตรงกับวันเสาร์และวันอาทิตย์  giving forward
        ประเด็นที่หนึ่งทำไหมต้องอบรมวันเสาร์และวันอาทิตย์ เพราะว่ามีการสำรวจคุณครูทั้งหลายว่าเรื่องอะไรเอ๋ยที่ทำให้คุณครูนั้นออกจากห้องเรียนมากที่สุด คำตอบอันดับหนึ่งเลยก็คือการจัดอบรมของเขตพื้นที่การศึกษา ซึ่งก็มีการรับปากว่าจะมีการแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ ซึ่งครูต่างก็คาดการณ์กันว่าการแก้ไขปัญหานั้น คือการลดการอบรมให้น้อยลงเพื่อที่ว่าจะได้ให้คุณครูอยู่ในห้องเรียนมากขึ้น แต่ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นก็คือ การแก้ปัญหาของผู้มีอำนาจ เพื่อที่จะให้ครูอยู่ในห้องเรียนมากยิ่งขึ้นนั้นก็คือ การให้ครูมาเข้ารับการอบรมในวันเสาร์และก็วันอาทิตย์แทน  giving forward
        ประเด็นที่สองนั้นก็คือการอบรมการคิดเลขเร็วแบบอินเดีย เกิดจากการที่นายก ได้มาเปิดงานเกี่ยวกับการศึกษางานหนึ่งและได้มีคำพูดๆหนึ่งบอกว่า เด็กอินเดียนั้นคิดเลขเร็วมาก ตัวเลขเยอะๆใช้เวลาในการคิดแค่แป๊บเดียว หลังจากนั้นหน่วยงานที่รับผิดชอบก็เริ่มจัดการอบรมการคิดเลขเร็วแบบอินเดียเลยเริ่มจากระดับประเทศและก็ขยายผลลงมาเรื่อยๆจนมาถึงระดับตัวแทนของโรงเรียนในที่สุด หากจะกล่าวถึงเรื่องเกี่ยวกับการคิดเลขเร็วของโรงเรียนนั้นก็คือ การคิดเลขเร็วนั้นมีการสอนอยู่ในทุกโรงเรียนอยู่แล้ว และก็มีการจัดการแข่งขันกันทุกปี แต่ว่าปีนี้ผู้รับผิดชอบบอกว่าจะมีการจัดการแข่งขันแบบอินเดียแทนแบบเดิม
        มาถึงเนื้อหาที่ได้จากการอบรมกันบ้าง การคิดเลขเร็วแบบอินเดียวก็จะมีสี่เรื่อง คือการบวก การลบ การคูณ และก็การหาร เหมือนกับการคิดเลขเร็วแบบปรกติ แต่ว่าการคิดเลขเร็วแบบอินเดียนั้น ในหนึ่งวิธีการ อย่างเช่นการบวก ก็จะมีวิธีการย่อยให้เลือกใช้อีกสี่แบบด้วยกัน ซึ่งจากการลองทำดูก็พบว่าช่วยลดเวลาในการคิดเลขเร็วได้มากพอสมควร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเด็กก็ยังต้องมีความรู้พื้นฐานในเรื่องของการบวกตัวเลข ทบสิบ ทบเก้า เป็นอย่างดีอยู่ด้วย สรุปคือผมว่าเป็นเรื่องที่ดีที่ได้รับการอบรมในเรื่องนี้ แต่ว่าจะสามารถนำสู่การปฏิบัติได้มากน้อยเพียงใดก็ต้องรอดูกันต่อไปเพราะว่า ช่วงนี้คุณครูงานเยอะเหลือเกิน

#S7Content